เตรียมสอบ TOEFL อย่างไร? ให้ได้คะแนนสุดยอดก้าวไกลถึงต่างประเทศ!

นักเรียนนักศึกษาทุกคนล้วนมีความฝันที่จะเข้าเรียนในสาขาวิชาที่สนใจและอยู่ในสถาบันศึกษาที่ตนชื่นชอบ แต่ก็ต้องผ่านการสอบมากมายไม่ว่าจะเป็นในด้านของทักษะ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และในด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษาสากล ใช้กันทั่วโลก รวมถึงยังมีการสอบ TOEFL วัดระดับภาษาอังกฤษกันแบบเน้นๆ อย่างไรก็ตามอาจยังมีหลายคนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ จึงต้องศึกษาเพื่อเตรียมสอบ TOEFL กันอย่างเข้มข้น

มีวิธีการเรียนภาษาอังกฤษอย่างไร ให้พร้อมรับมือข้อสอบ TOEFL? มาดูคำตอบกันเลย

การสอบ TOEFL

ทุกคนคงได้ยินคำว่า TOEFL กันมาจนคุ้นหูและรู้ว่ามันคือการสอบภาษาอังกฤษ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นคำย่อมาจาก Test of English as Foreign Language คือการสอบวัดผลภาษาอังกฤษตามมาตรฐานอเมริกัน ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (Native Speaker) หรือก็คือนิสิตนักศึกษาต่างชาติ จากประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย คะแนนสอบ TOEFL นั้นสามารถใช้ยื่นกับสถาบันทางการศึกษาต่างๆ อย่างมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษต่างๆ และเป็นข้อสอบที่ใช้วัดระดับสำหรับนักศึกษาที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ 

รูปแบบการจัดสอบ TOEFL

การสอบ TOEFL ในปัจจุบันนั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 แบบด้วยกัน ดังนี้

• TOEFL PBT

PBT หรือ Paper-Based Testing เป็นการทำข้อทดสอบกับกระดาษแบบดั้งเดิมที่ถูกยกเลิกไปเมื่อปี 2017 โดยการสอบแบบ PBT จะประกอบไปด้วย Listening, Structure, Listening โดยมีคะแนนตั้งแต่ 310-677 คะแนน ส่วนการสอบ Writing สามารถเลือกสอบหรือไม่ก็ได้ ซึ่งการคิดคะแนนในส่วนนี้จะแยกออกไปต่างหากจากส่วนอื่นๆ 

• TOEFL CBT

Computer-Based Testing เป็นการสอบกับคอมพิวเตอร์ เนื้อหาในการสอบเหมือนกับ TOEFL PBT แต่จะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย ตรงที่ผู้สอบทุกคนจะต้องสอบ Writing และมีช่วงคะแนนอยู่ที่ 0-300

• TOEFL ITP

ย่อมาจาก Institutional Testing Program หรือก็คือข้อสอบ TOEFL ที่สถาบันและองค์กรต่างๆ ซื้อมาจาก ETS อีกที เนื้อหาในการสอบจะมีทั้ง Listening, Structure, หรือ Writing คล้ายกับข้อสอบ TOEFL แบบอื่นๆ แต่ข้อสำคัญคือ TOEFL ITP จะใช้ได้กับสถาบันเฉพาะเจาะจงที่ซื้อข้อสอบไปเท่านั้น เช่น TOEFL Mahidol ก็จะนำผลคะแนนนี้ไปยื่นสมัครเข้า ม.มหิดล ได้เพียงที่เดียว เป็นต้น 

• TOEFL iBT

TOEFL iBT หรือ internet-Based Testing เป็นรูปแบบการสอบที่มาแทนที่ TOEFL CBT เนื้อหาของการสอบแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ Reading, Listening, Speaking, Writing และมีบททดสอบบางข้อ ที่รวมเอาทักษะหลายๆ อย่างไว้ด้วยกัน เช่น มีคำถามให้อ่าน แต่ต้องตอบด้วยการพูด โดยช่วงคะแนนสอบแบบ iBT อยู่ที่ระหว่าง 0-120 คะแนน

อย่างไรก็ตาม การสอบ TOEFL PBT และ TOEFL CBT นั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยจะใช้การสอบ TOEFL iBT เป็นหลักและเป็นมาตรฐานที่ใช้เรียนพิเศษภาษาอังกฤษตามสถาบันต่างๆ นั่นเอง

เตรียมสอบ TOEFL ในแต่ละ Part

นักเรียนนักศึกษาที่เรียนภาษาอังกฤษไม่แข็งก็คงต้องการเคล็ดลับการเรียนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อไปปรับใช้กับการเตรียมสอบ ซึ่ง TOEFL iBT นั้นก็แบ่งออกเป็น 4 Part ได้แก่ Reading, Listening, Speaking, Writing มาดูวิธีการเตรียมตัวในแต่ละจุดกันเลย

เตรียม Reading ให้รู้ ตีความให้ออก

เริ่มที่โจทย์ทดสอบทักษะ Reading ที่ต้องอ่านความรู้ในคำศัพท์ บวกกับเวลาที่มีจำกัดทำให้ต้องอ่านด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง สำหรับใครที่ไม่ถนัดในการอ่าน ให้ลองใช้เทคนิคดังนี้

• ทำการ Preview หรือดูภาพรวมเบื้องต้นของบทความโดยทำการสแกนตั้งแต่ต้นจนจบ โดยให้สังเกตไปที่ประโยคนำ คำสำคัญ และข้อสรุป เพื่อให้เข้าใจเบื้องต้นเสียก่อน แล้วจึงอ่านโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
• วางเป้าหมาย โดยให้คิดว่าคุณอ่านบทความนี้เพื่ออะไร ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วบทความใน TOEFL จะเน้นการใช้เหตุผล การโต้แย้ง และการเปรียบเทียบ คุณก็จะสามารถจับใจความตามเป้าหมายนั้นๆ ได้
• ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวอักษร แต่ให้เน้นทำความเข้าใจกับ Keypoint แทน เนื่องจากเวลาที่จำกัดการอ่านครบทุกอย่างจะทำให้เสียเวลามากขึ้น

เตรียม Listening ให้กระจ่าง สร้างความเข้าใจ

ในส่วนของการสอบ Listening เรียกได้ว่าเป็นพาร์ทที่ยากมากๆ สำหรับหลายๆ คน เพราะนอกจากจะต้องจับใจความให้ได้แล้ว ยังต้องฟัง Native Speaker พูดซึ่งบางคนอาจจะไม่คุ้นชินกับสำเนียง ส่งผลให้การฟังลำบากขึ้นอีก ในการสอบ TOFEL นั้นมีข้อสอบอยู่ 2 แบบคือ Academic Lecture บรรยายจำลองสถานการณ์ต่างๆ และ Conversation บทสนทนา ซึ่งการฝึกเพื่อให้พร้อมก่อนสอบนั้นสามารถทำได้ง่ายโดยการ

• ดูและฟัง หนัง ซีรีส์ รายการ หรือเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งสามารถเปิดคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษได้ เพื่อให้ได้คุ้นเคยกับสำเนียง เมื่อฟังบ่อยๆ คุณก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่ Native Speaker พูดออกมาได้ไม่ยาก ไม่ต้องอ่านคำบรรยายก็ได้ แถมยังได้ความสนุกเป็นของแถมอีกด้วย

เตรียม Speaking พูดให้คล่องเหมือนเจ้าของภาษา

การฟังที่ว่ายากแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับการพูด โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งสิ่งที่สามารถช่วยให้เตรียมสอบ TOEFL พาร์ทการพูดได้คือการฝึก  ดังนี้

• เริ่มจากการฝึกพูดตาม อาจจะเริ่มจากวิดีโอตาม YouTube ก่อนก็ได้ไม่ว่าจะฟังยูทูบเบอร์ที่พูดภาษาอังกฤษ แล้วพูดตาม ให้พยายามโฟกัสไปที่การออกสำเนียงที่คุณพูดตามได้ถนัด และการอ่านออกเสียงแต่ละคำให้ถูกต้อง 
• เมื่อเริ่มจับแนวทางการพูดได้แล้ว ก็สามารถฝึกซ้อมกับตัวเองหน้ากระจกหรือจะนำมาสนทนากับเพื่อน ก็จะยิ่งช่วยให้ทักษะการพูดพัฒนาเร็วขึ้น

เตรียม Writing เขียนสื่อสารให้ตรงจุด

พาร์ท Writing ของการสอบ TOEFL iBT จะดึงทักษะการอ่าน การฟัง และการเขียนของผู้สอบออกมาอย่างเต็มที่ โดยจะมีบทความ ไฟล์เสียง เพื่อนำมาเขียนเป็นในรูปแบบของ Essay หรือเรียงความนั่นเอง

• ในการเตรียมสอบ TOEFL ส่วนการเขียน ให้ลองศึกษาโครงสร้างการเขียน Essay เสียก่อน ที่โดยปกติแล้วจะมีย่อหน้าสำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ Introduction, Body, และ Conclusion
• แน่นอนว่าในการเขียนก็ต้องทำให้ถูกหลักแกรมม่า ไม่ว่าจะเป็น Tenses หรือ Part of Speech ก็ควรฝึกฝนไว้ด้วย

ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นก็เป็นการเตรียมสอบ TOEFL เบื้องต้นด้วยตัวเอง หากใครที่ต้องการครูฝึกสอนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ สถาบันสอนภาษา เอยูเอ (AUA) ก็มีหลักสูตรเตรียมสอบ TOEFL iBT ที่จะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นของผู้เรียนเพื่อใช้ในการสอบในทุกส่วน สอนโดยครูต่างชาติเจ้าของภาษาโดยตรง รับรองว่าจะได้ความรู้และทักษะไปแบบเต็มๆ 

ดูรายละเอียดหลักสูตรเตรียมสอบ TOEFL ได้ที่ www.auathailand.org/courses/exam_preparation/ 

ABOUT AUA LANGUAGE CENTER

ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2495 ณ วังสราญรมย์ โดยสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์และการสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกัน ปัจจุบัน สถาบันสอนภาษา เอยูเอ (AUA Language Center) มีการเปิดสอนในหลากหลายหลักสูตรและสาขาทั่วประเทศไทย มุ่งมั่นมอบโอกาสในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้กับบุคคลทุกคน ภายใต้มาตรฐานการสอนและบุคลากรที่มีคุณภาพ มอบแนวทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย, ยืดหยุ่น, พร้อมต่อยอดและใช้งานได้จริง

สนใจหรือมีคำถามเพิ่ม สามารถติดต่อสถาบันสอนภาษา เอยูเอ ได้ ที่นี่ หรือโทร: 02-114-7625 นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับทางสถาบันสอนภาษา เอยูเอ ได้ตามช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ Instagram, Facebook และ LINE