Words on What We Hear – เคยไหมคะ ทั้งที่ใช้กันอยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคำศัพท์พื้นฐานหลายคำที่เข้าใจผิด อย่าง voice – speech, song-music และ sound-noise สามคู่คำนี้เป็นกลุ่มตัวอย่างหนึ่งที่อาจใช้สลับกัน ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเสียงที่คนเราได้ยินและที่เปล่งออกมา บางคำไม่มีความหมายที่แยกแยะอย่างชัดเจนในภาษาไทย
Voice – Speech : ทั้งคู่คือเสียงที่เปล่งออกมาจากปากและลำคอของมนุษย์ voice เป็นการเปล่งเสียงทั่วไป ทั้งเสียงร้องที่ไม่เป็นคำ เสียงอ้อแอ้ของทารก(babbling) เสียงกระชิบกระซาบที่จับใจความไม่ได้ เสียงปนอาการอย่างหัวเราะหรือร้องไห้ (รวมถึงเสียงที่เปล่งออกมาของสัตว์ ทั้งการเห่า หอน ขัน ฯลฯ) โดยไม่จำเป็นว่า voice นั้นต้องมีความหมายเป็นคำ ส่วน speech ต้องมีลักษณะของการเป็นคำพูดที่สื่อความได้ตามระบบของภาษา โดยใช้อวัยวะและกล้ามเนื้อต่างๆ มาช่วยในการสร้างหน่วยเสียงที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก คอ จมูก ตัวอย่างที่ดีคือ ทารกสามารถผลิต voice ได้ แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้หัดพูดให้เป็นคำ วลี หรือ ประโยค สักระยะหนึ่ง ถึงจะผลิต speech ได้
voice เป็นทั้งคำนามและคำกริยาที่หมายถึงการออกเสียง และยังหมายถึง ทัศนคติความคิดเห็น ได้เช่นกัน
ส่วน speech ยังแปลได้ว่า สุนทรพจน์ เป็นคำพูดที่แสดงในวาระต่างๆ มักจะมาจากบุคคลสำคัญ (พ้องกับคำว่า address)
ตัวอย่าง –
Men have a deep voice while women have a high-pitched voice. (ผู้ชายมีเสียงทุ้มลึก ส่วนผู้หญิงมีเสียงสูงแหลม)
the sonorous voice of a bird. (เสียงอันไพเราะของนก)
people’s voice (เสียงของผู้คน เสียงของประชาชน)
Lincoln’s Gettysberg Speech (สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีลินคอล์นที่ทุ่ง Gettysberg – รู้จักันในนาม Gettysberg Address ที่กล่าวหลังได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา)
Song – Music : แปลด้วยคำภาษาไทยง่ายๆ ได้ว่า song คือ เพลง ส่วน music ก็คือดนตรี และกล่าวได้ว่า song ทั้งหมดเป็น music แต่ไม่ใช่ ทุก music เป็น song
อธิบายให้ละเอียดขึ้นมาหน่อย ก็คือ song มักจะหมายถึงเพลงที่มีเนื้อร้อง(lyrics)ประกอบทำนองดนตรี(melody) ซึ่งมักจะมีความยาวไม่มากนัก ในขณะที่ music ว่าด้วยการเรียบเรียงเสียงตัวโน้ตท่วงทำนองและจังหวะต่างๆ ให้เกิดความไพเราะออกมาเป็นงานดนตรี โดยมีรูปแบบได้หลากหลาย ดนตรีบรรเลง (instrumental music) หรือดนตรีคลาสสิก (classical music) ก็จัดว่าเป็น music ได้ (ในขณะที่ภาษาไทย สามารถใช้คำว่า ‘เพลง’ กับสองคำนี้ได้)
ความแตกต่างอีกข้อคือ music เป็นคำนามที่นับไม่ได้ ส่วน song นั้น สามารถเป็นทั้งคำนามนับได้หากพูดถึงผลงานเพลงเป็นชิ้นๆไป และคำนามนับไม่ได้หากว่าด้วยความเป็นเพลงโดยทั่วไป
ตัวอย่าง –
This musical drama is told through song and dance. (ละครเพลงเรื่องนี้เล่าผ่านเพลงร้องและการเต้น)
background music (เสียงดนตรีที่ดังคลอประกอบการแสดงในหนัง ละครโทรทัศน์/วิทยุ หรือกิจกรรมบางอย่าง)
Some debate that hip-hop is not music. (บางคนถกเถียงว่า hip-hop ไม่ใช่ดนตรี)
sound – noise : กล่าวอย่างสั้นก็คือ sound คือเสียงที่เราได้ยิน และบ่อยครั้งก็มักจะเป็นเสียงที่ตั้งใจที่จะได้ยิน อาจจะมาจากเครื่องดนตรี เสียงคนพูด ลำโพง เครื่องยนต์ หรือจากธรรมชาติก็ได้ ส่วน noise คือเสียงที่ลอยไปมาโดยทั่วไปและเป็นเสียงที่ไม่พึงประสงค์จะได้ยิน อาจจะรู้สึกรำคาญกับเสียงนั้นหรือไม่ก็ได้ บางกรณีหมายถึงเสียงที่ตั้งใจปล่อยออกมารบกวนก็ได้
จึงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะพิจารณาสิ่งที่ได้ยินว่าเป็น sound หรือ noise ตัวอย่างเช่นเสียงดนตรีในสายหูฟังอาจเป็น sound ของคนที่ใส่หูฟังนั้นอยู่ แต่เป็น noise ของคนนั่งข้างๆ ที่ไม่อยากจะได้ยิน
ในทางวิทยาศาสตร์ สมองของคนเราจะสร้างการแยกแยะได้เองว่าเสียงไหนเป็น sound หรือ noise
นอกจากนี้ sound ยังเป็นคำกริยา ที่แปลว่าทำให้เกิดเสียง และอยู่ในกลุ่ม linking verb ทำหน้าที่คล้าย verb to be แปลว่า ‘ฟังดู’ รวมถึงเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ไม่บอบช้ำเสียหาย ปลอดภัย มั่นคงแข็งแรง (ดังสำนวน safe and sound) ก็ได้ ส่วน noise ก็มีความหมายรอง อย่าง เสียงนินทา (rumor) และ เสียงเรียกร้องความสนใจ ได้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง –
the sound of music (เสียงแห่งดนตรี)
This idea sounds good. (ความคิดนี้ฟังดูดี)
to make a noise (ส่งเสียงดัง)
noises off (สำนวน British English หมายถึงเสียงที่ส่งออกมาจากด้านข้างเวทีละครที่ตั้งใจให้คนดูได้ยินเพื่อสื่อความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกฉาก)